การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างหุ้น ก็มีโอกาสที่จะสร้างกำไรชนะเงินเฟ้อ แต่จะทำแบบนี้ได้ เราต้องมีความรู้เรื่องการลงทุนที่ดีพอซะก่อน สำหรับใครที่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด ไม่มีเงินก้อนใหญ่ และไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน เราขอแนะนำการลงทุนใน กองทุนรวม ที่สะดวก ง่าย และมีมืออาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
กองทุนรวม คืออะไร
กองทุนรวม คือ การระดมเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยมารวมเป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้ดูแล เพื่อนำเงินไปลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมตามนโยบายที่ตนเองสนใจ เมื่อลงทุนแล้วจะได้รับจัดสรร “หน่วยลงทุน” เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเงินที่ลงทุนไป เราจึงเรียกผู้ลงทุนในกองทุนรวมว่า “ผู้ถือหน่วยลงทุน” นั่นเอง
สำหรับมูลค่าของหน่วยลงทุน ในกองทุนแต่ละกองจะมีมูลค่าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการบริหารกองทุนและปัจจัยที่มีผลต่อสินทรัพย์ที่ลงทุน นอกเสียจากจะเป็นกองทุนรวมที่เสนอขายครั้งแรก หรือ Initial Public Offering (IPO) ก็จะมีมูลค่าเริ่มต้นที่ 10 บาท และมูลค่าหน่วยก็จะเปลี่ยนไปหลังจากเสร็จสิ้นการระดมทุนและเริ่มการซื้อขายตามปกติ
ประเภทของ กองทุนรวม มีอะไรบ้าง
การลงทุนในกองทุนรวมมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และนโยบายของกองทุน โดยแต่ละประเภทก็มักมีความเสี่ยงต่างกันไปด้วย หากอยากรู้ว่ากองทุนรวมมีอะไรบ้าง เราขอแบ่งประเภทของกองทุนรวมตามนโยบายการลงทุนให้เข้าใจดังนี้
- กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)
เน้นลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้คุณภาพดีอายุต่ำกว่า 1 ปี เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเป็นที่พักเงินชั่วคราวมากกว่าลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทน
- กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund)
มีนโยบายลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้รูปแบบต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ของภาคเอกชน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย และควรศึกษาลักษณะของกองทุนที่ลงทุน หากกองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ก็ควรลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
- กองทุนรวมผสม (Mixed Fund)
เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์อื่นๆ โดยโอกาสรับผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุนในกองทุน กองทุนผสมเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางค่อนข้างสูง หรือคนที่ต้องการกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์ในกองทุนเดียว ซึ่งกองทุนผสมจะตอบโจทย์มากกว่าการเลือกลงทุนเอง เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลปรับสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ได้โอกาสทำกำไรสูงสุดในแต่ละสภาวะตลาด
- กองทุนรวมตราสารทุน หรือ กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund)
มีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (warrant) สำหรับกองทุนรวมหุ้นไทยก็จะมีหลากหลายนโยบาย เช่น ลงทุนตามดัชนี SET50, ลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ฯลฯ กองทุนรวมหุ้นมีความผันผวนสูง จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก สามารถลงทุนระยะยาวได้ และยอมรับการขาดทุนในระยะสั้น
- กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF)
เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่าการลงทุนในประเทศ และยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน โดยกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม มักเป็นการลงทุนตามดัชนีสำคัญๆ ของโลก หรือการคัดสรรหุ้นรายตัวที่โดดเด่นในตลาดต่างประเทศ กองทุนรวมประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง ถึงสูงมาก และยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่นักลงทุนต้องระวัง ก่อนลงทุนควรศึกษาว่ากองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ด้วย
- กองทุนรวมที่ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Investment)
มีหลากหลายประเภทสินทรัพย์ให้เลือกลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมันดิบ และทองคำ ฯลฯ จัดเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรมีความรู้ในสินทรัพย์นั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF)
เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องมีการลงทุนตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรและเมื่อซื้อแล้วต้องถือครองให้ครบเป็นเวลา 10 ปีนับจากวันที่ซื้อจึงจะสามารถไถ่ถอนได้ และมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามประเภทของกองทุนรวมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น หุ้นกู้ดิจิทัล และทรัพย์สินทางเลือก ฯลฯ
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF)
เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ส่งเสริมการออมเงินในระยะยาวเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณและมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีเงื่อนไขหลักในการลงทุนคือ จะต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่องและต้องมีอายุครบ 55 ปี จึงจะสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้ ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามประเภทของกองทุนรวมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น และทรัพย์สินทางเลือก ฯลฯ
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม
- มีมืออาชีพคอยดูแลการลงทุน
นั่นคือ ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสินทรัพย์ และสามารถวิเคราะห์หาโอกาสทำกำไรได้อย่างมืออาชีพ เราจึงมั่นใจได้ว่าเงินที่เราลงทุนจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างดี
- มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย
เราสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือกระจายความเสี่ยงได้ในหลายสินทรัพย์ ที่สำคัญบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยังนำเสนอกองทุนรวมใหม่ๆ ตามเทรนด์อยู่เสมอ เช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี กองทุนหุ้นการแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน
- เงินไม่มากก็ลงทุนได้
การลงทุนในกองทุนรวมมีเงินเพียงหลักร้อยก็ลงทุนได้แล้ว หรือบางกองทุนก็ให้เราเริ่มต้นลงทุนเพียง 1 บาทเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถทยอยลงทุนแบบ DCA ได้ด้วย
- ขั้นตอนการลงทุนที่ง่ายดาย
เพราะลงทุนได้ผ่านแอปพลิเคชัน อย่างเช่น Krungthai Next ที่ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย จะเปิดบัญชี ดูพอร์ต หรือ ซื้อ ขาย สับเปลี่ยนกองทุน ก็ทำได้ผ่านแอป สะดวกและรวดเร็ว สามารถดูรายละเอียดกองทุนได้เพิ่มเติมที่นี่ กองทุนรวมกรุงไทย
เทคนิคการลงทุนในกองทุนรวม
- รู้เป้าหมายการลงทุน
ว่าจะเน้นลงทุนระยะยาวเพียงใด รับความเสี่ยงได้ในระดับไหน และคาดหวังผลตอบแทนประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้จะมีความสัมพันธ์กับการเลือกกองทุนรวม เช่น หากเราลงทุนระยะยาวและรับความเสี่ยงได้สูง ก็ให้เลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือหากต้องการพักเงินระยะสั้น ไม่คาดหวังผลตอบแทนมาก แต่เน้นรักษาเงินต้น ก็อาจพิจารณาเลือกกองทุนรวมตลาดเงินหรือตราสารหนี้ได้ เป็นต้น
- รู้จักประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน
จริงอยู่ว่ากองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่ดูแลเงินลงทุนของเรา แต่ผู้ลงทุนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วย เพื่อให้จัดพอร์ตการลงทุนได้บาลานซ์ กระจายความเสี่ยงได้หลากหลาย และรู้ว่าสินทรัพย์แต่ละชนิดจะให้โอกาสทำกำไรได้ในสถาการณ์แบบใด เพื่อให้หลีกเลี่ยง หรือสับเปลี่ยนได้ทันท่วงที
- รู้ข้อมูลเบื้องต้นของกองทุน
ได้แก่ นโยบายการลงทุน การจ่ายปันผล ค่าธรรมเนียมต่างๆ และผลการดำเนินงานในอดีต เหล่านี้จะสะท้อนถึงฝีมือในการบริหารกองทุน และโอกาสทำกำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น บางกองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดี แต่ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง เราอาจต้องเปรียบเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายเดียวกันเพิ่มเติม ซึ่งข้อมูลสำคัญของกองทุนรวมสามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวนการลงทุนของกองทุนนั้นๆ
อย่างไรก็ดี แม้เราจะรู้แล้วว่ากองทุนรวมคืออะไร และสร้างโอกาสทำกำไรให้เราได้อย่างไร ทว่าการลงทุนก็ย่อมมีความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีต ก็มิอาจยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนจึงต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หรือหากจะลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีก็ควรศึกษาเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย
กองทุนรวมต่างจากการลงทุนในหุ้นตรงไหน
กองทุนรวม (Mutual Fund) เกิดจากการระดมและรวบรวมเงินจากบุคคลทั่วไป เพื่อนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและบริหารเงินลงทุนให้เกิดผลตอบแทนมากที่สุด อีกทั้งกองทุนรวมเองก็ยังมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่ต้องถูกจดทะเบียนตามกฎหมาย ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นผู้ลงทุนจะต้องเป็นผู้บริหารเองทั้งหมด
จะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมดี ? มักจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะการลงทุนทั้ง 2 แบบนั้นถือเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน เนื่องจากคุณสามารถสร้างผลตอบแทนโดยที่ไม่ต้องบริหารกิจการ ซึ่งทั้งหุ้นและกองทุนรวมนั้นมีความเสี่ยงในการลงทุนคล้าย ๆ กัน แต่หุ้นนั้นมักจะเป็นการพิจารณาเลือกหน่วยลงทุนโดยตัวคุณเอง และหลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้นั้นจะต้องอยู่ในตลาดหุ้นเท่านั้น
ในขณะที่กองทุนรวม คุณจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและเลือกจัดสรรการลงทุนอย่างเหมาะสม รวมไปถึงยังเลือกกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์อื่น ๆ นอกเหนือจากหุ้น เช่น ตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินตราต่างประเทศ บางครั้งกองทุนรวมยังจะเลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือกลุ่มหุ้นของต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ กองทุนรวมบางประเภทยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ทำให้ผู้ซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ครับ
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เลือกซื้อ เฟอร์นิเจอร์ เข้าบ้านอย่างไร
การศึกษาพันธุกรรม ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ลุยเกาหลีใต้! ดึงยักษ์ใหญ่ลงทุนไทย
เคล็ดลับสำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์วรรณคดีอังกฤษ
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://tyreinternationalfestival.com/
สนับสนุนโดย ufabet369
ที่มา krungthai.com