Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
เหงื่อออก ผิดปกติควรไปพบแพทย์
เหงื่อออก ผิดปกติควรไปพบแพทย์
เหงื่อออก เป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอทุกวัน ยิ่งอาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเราไปจนถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในแต่ละวัน จะกระตุ้นให้ออกมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เหงื่อในลักษณะไหนที่ส่งสัญญาณบอกให้ควรหันมาใส่ใจกับสุขภาพเรื่องน่ารู้ของอาการเหงื่อออกเยอะ
เหงื่อออก เป็นของเสียรูปแบบหนึ่งที่ถูกขับจากต่อมเหงื่อออกมาทางผิวหนัง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลง โดยมีส่วนประกอบสำคัญเป็นน้ำและเกลือ มักจะออกตามใบหน้า รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นหลัก ส่วนสาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมาจากหลายปัจจัย ได้แก่
- อุณหภูมิภายในหรือภายนอกร่างกายสูงขึ้น ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหงื่อออก
- สภาวะทางอารมณ์ก็มีส่วนกระตุ้นให้เหงื่อออก เช่น โกรธ กลัว เครียด วิตกกังวล หรืออึดอัดใจ
- การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารเผ็ดร้อน เครื่องดื่มคาเฟอีน ชา กาแฟ โซดา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกในขณะรับประทานอาหาร
- อาการป่วยทางร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง ไข้ขึ้น อาการติดเชื้อ น้ำตาลในเลือดต่ำ กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่อย่างซับซ้อนบริเวณแขนขาหรือกลุ่มอาการซีอาร์พีเอส (Complex Regional Pain Syndrome)
- การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดหรือมอร์ฟีน ยาบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน (Synthetic Thyroid Hormones)
- อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เหงื่อออก จึงสังเกตเห็นได้ว่าผู้หญิงวัยทองมักมีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือมีอาการร้อนวูบวาบพร้อมกับเหงื่อออก
ปริมาณเหงื่อแต่ละวันที่ถูกขับออกจากร่างกายจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน อาจมีปริมาณน้อยกว่า 1 ลิตรไปจนถึงหลายลิตร ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในระหว่างวันและสภาพอากาศ เช่น พนักงานออฟฟิศในตึกที่ควบคุมอุณหภูมิให้เย็นสบายจะมีเหงื่อออกน้อยกว่าคนงานที่ทำงานข้างนอกตึกในสภาพอากาศร้อนจัด การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง จะทำให้เหงื่อออกได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ ปริมาณเหงื่อยังขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมเหงื่อในร่างกาย โดยผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะเหงื่อออกได้ง่ายกว่าวัยอื่น เพราะเป็นช่วงที่ต่อมเหล่านี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต่อมเหงื่อของผู้ชายมักทำงานได้มากกว่าผู้หญิง
อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาจากเหงื่อคงหนีไม่พ้นเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตัวการของกลิ่นไม่ได้มาจากเหงื่อโดยตรง แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังทำปฏิกิริยากับกรดในเหงื่อจนกลายเป็นกลิ่นตัว (Bromhidrosis) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยหนุ่มสาว และผู้ชายก็มักมีกลิ่นตัวได้ง่ายกว่าสาวๆ เนื่องจากมีต่อมเหงื่อมากกว่า จึงทำให้ผลิตเหงื่อออกมามาก รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย เช่น น้ำหนักตัวมาก รับประทานอาหารรสจัดหรือแอลกอฮอล์ รับประทานยาบางชนิดอย่างยาต้านเศร้า (Antidepressants) หรือโรคบางโรค
เหงื่อบ่งบอกสุขภาพได้อย่างไร
ความเหนียวตัวและกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเหงื่อทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิดจนพาลไม่อยากให้เหงื่อออก แต่หากเหงื่อไม่ออกเลย ออกเพียงช่วงกลางคืน หรือแม้แต่ออกมากเกินในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่ควรระวัง เพราะมักเป็นปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งภาวะเหงื่อออกผิดปกติที่พบได้บ่อย ได้แก่
- ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis)
เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเหงื่อได้ตามปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายสะสมความร้อนไว้สูงเกินไป ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความร้อน เช่น ตะคริวแดด (Heat Cramp) อาการเพลียแดด (Heat Exhaustion) จากการโดนแดดหรือความร้อนเป็นเวลานานจนทำให้หมดแรง โรคลมแดด (Heat Stroke) และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเมื่อุณหภูมิในร่างกายสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียส เพราะร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปพร้อมกับเหงื่อได้ทัน
ภาวะขาดเหงื่อเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกายหรือเกิดเป็นเฉพาะบางจุด โดยสาเหตุการเกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น การได้รับบาดเจ็บบริเวณผิวหนังอย่างรุนแรง โรคหรือยาบางชนิด สภาวะบางอย่างที่ทำให้ระบบเส้นประสาทเสียหาย ภาวะขาดน้ำ หรือแม้แต่กรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมเหงื่อ ส่วนการรักษาต้องพิจารณาจากสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะนี้ เพื่อรักษาให้หายขาด
- เหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)
ภาวะหลั่งเหงื่อมากเป็นภาวะที่ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามากเกินความจำเป็น เนื่องจากกลไกการลดอุณหภูมิของร่างกายไวต่อการกระตุ้นและจำนวนต่อมเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตเหงื่อออกมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า เช่น นั่งเฉย ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็อาจทำให้เหงื่อท่วมตัว หรือในหน้าหนาวที่อากาศค่อนข้างเย็นกลับพบว่ามีเหงื่อออกมากเหมือนในหน้าร้อน
สาเหตุของเหงื่อออกมากผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะเกิดได้จากหลายปัจจัย อาจมาจากการรับประทานยารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวานหรือโรคของต่อมไทรอยด์ เข้าสู่ช่วงวัยทอง รวมไปถึงการติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด
เมื่อเหงื่อออกมากก็จะทำให้เกิดกลิ่นตามมา โดยเฉพาะจุดอับตามร่างกาย ผู้ที่เกิดภาวะหลั่งเหงื่อมากควรเริ่มต้นด้วยการดูแลความสะอาดของร่างกายตามคำแนะนำ ดังนี้
- อาบน้ำเป็นประจำทุกวันหรืออาบบ่อยขึ้นในวันที่อากาศร้อน ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียตามผิวหนังและจุดซ่อนเร้นไม่ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น รวมไปถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
- รักษาความสะอาดของจุดซ่อนเร้น เพราะเป็นจุดอับที่เกิดกลิ่นได้ง่าย เช่น รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับ
- ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายหลังอาบน้ำ โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม คลอไรด์ (Aluminium Chloride) ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเหงื่อให้น้อยลง
- เลือกสวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เพราะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี ไม่ก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
- สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
- เลี่ยงรับประทานอาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัตว์เนื้อแดง ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกมากขึ้น
หากการดูแลเบื้องต้นไม่ดีขึ้น การรักษาทางการแพทย์อาจใช้การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน(Botulinum Toxin) ในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อเยอะ เช่น ใต้วงแขน แขน ขา หรือใบหน้า ซึ่งช่วยยับยั้งการส่งสัญญาณของสมองไปยังต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อน้อยลง
ในกรณีที่เกิดกลิ่นตัวอย่างรุนแรงมากจนไม่สามารถบรรเทากลิ่นให้น้อยลงด้วยวิธีการอื่น แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดกำจัดต่อมเหงื่อบางส่วนออก ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธีที่นิยมใช้ เช่น การผ่าตัดนำเนื้อเยื่อหรือผิวหนังใต้วงแขนบางส่วนออก การดูดต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังออกโดยใช้เทคนิคเดียวกับการดูดไขมัน (Liposuction) การผ่าตัดผ่านรูกุญแจ (Keyhole Surgery) ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Endoscopic Thoracic Sympathectomy (ETS) เพื่อทำลายเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมการผลิตเหงื่อ
- เหงื่อออกกลางคืน (Night Sweat)
เป็นภาวะที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะช่วงกลางคืน โดยไม่มีปัจจัยอื่นกระตุ้นให้เหงื่อออกและอุณหภูมิของห้องเป็นปกติ บางครั้งอาจมีเหงื่อออกมากจนที่นอนเปียกชื้น ภาวะนี้ในบางครั้งอาจวินิจฉัยได้ยาก เพราะบางคนเหงื่อออกจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อุณหภูมิในห้องนอนสูงเกินไป ชุดเครื่องนอนหนามาก หรือบนเตียงมีหมอนเยอะหลายใบจนทำให้รู้สึกร้อน แพทย์จึงต้องแยกสาเหตุทั่วไปและทางการแพทย์ออกจากกัน
สาเหตุการเกิดอาจมาได้จากหลายส่วน ภาวะนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งจะเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ของวัยทอง เช่น ช่องคลอดแห้ง รู้สึกร้อนวูบวาบในช่วงกลางวัน อารมณ์แปรปรวน ส่วนสาเหตุอื่นๆ เกิดได้จากการรับประทานยาบางชนิด ความผิดปกติของฮอร์โมน ไข้ขึ้น แต่ในบางรายก็เป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง แต่พบได้ค่อนข้างน้อย ในการวินิจฉัยจึงต้องใช้ข้อมูลหลายส่วนประกอบกัน
อาการเหงื่อออกเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพบางส่วนจากระบบทำงานของร่างกายที่ผิดเพี้ยนไป แต่หากขาดการดูแลและรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสมย่อมจะเกิดผลเสียตามมา จึงควรหมั่นสังเกตว่าเหงื่อที่ออกในชีวิตประจำวันเป็นปกติหรือพ่วงความผิดปกติใดมาหรือไม่ เช่น เจ็บหน้าอก ไข้ขึ้น หัวใจเต้นเร็วและถี่ หายใจสั้น น้ำหนักลง เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังเผชิญกับการติดเชื้อหรือโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ที่ซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เมื่อมีเหงื่อออกในลักษณะต่อไปนี้
- เหงื่อออกมากหรือออกเป็นระยะเวลานานโดยหาสาเหตุไม่ได้
- มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือความดันโลหิตเกิดขึ้นพร้อมกับเหงื่อออก หรืออาจเกิดตามมา
- เหงื่อออกบ่อยๆ ในช่วงกลางคืนหรือเหงื่อออกมากจนน้ำหนักลด
เหงื่อมากผิดปกติ มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร
การักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอาการเข้ากับกลุ่มไหน ถ้าสงสัยว่าเป็น Secondary Hyperhidrosis (กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย) ก็ต้องไปหาว่าเป็นโรคอะไร และรักษาโรคนั้น อาการเหงื่อออกมากผิดปกติก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถ้าอาการเข้าได้กับ Primary focal hyperhidrosis และหาสาเหตุไม่ได้ ก็จะรักษาโดยการลดปริมาณเหงื่อที่ออกในบริเวณนั้นๆ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1.ทายา ที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ (Antiperspirants)
หรือสารระงับเหงื่อ ออกฤทธิ์ทำให้โปรตีนในผิวหนังเกิดการตกตะกอน เมื่อสารนี้ซึมเข้าไปสู่รูต่อมเหงื่อ เกลืออลูมิเนียมจะเข้าเกาะติดในรูต่อมเหงื่อจนทำให้รูอุดตัน และปิดกั้นทางออกของเหงื่อไว้ สามารถทาได้ทั้งบริเวณ ไรผม รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยต้องทายาก่อนนอนในบริเวณที่เหงื่อออกมากแล้วล้างออกตอนเช้า ยาอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณที่ใช้ได้
2.การฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินชนิดเอ (botulinum toxin type A)
บริเวณรักแร้ หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อกดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ ก่อนฉีดก็จะมีการทายาชาและประคบน้ำแข็ง โดยอาจจะมีการทดสอบก่อน (Starch-Iodine Test) เพื่อดูบริเวณที่เหงื่อออก จะได้ฉีดให้ครอบคลุมทั่วบริเวณ ซึ่งฤทธิ์ของโบทูลินั่มท็อกซินจะอยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน เมื่อหมดฤทธิ์เหงื่อก็จะกลับมาออกตามปกติ
3.MiraDry
คือ เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ช่วยในการแก้ไขปัญหาเหงื่อ และกลิ่นตัวบริเวณใต้วงแขน โดยการใช้พลังงานคลื่นไมโครเวฟ ส่งพลังงานความร้อนลงไปทำลายต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ถาวร โดยไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง และยังมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นเครื่องเดียวในปัจจุบัน ที่ได้รับรับรองจาก FDA ในการรักษาโรคนี้
4.การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis)
เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง อาจต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 6-10 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง
5.การผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออก (remove sweat glands)
การกำจัดปมประสาทอัตโนมัติ (Sympathectomy) โดยการทำลายปมประสาทบางส่วนที่ส่งสัญญาณมาบริเวณใบหน้า ฝ่ามือ หรือรักแร้ ส่งผลให้ไม่มีการหลั่งเหงื่อเกิดขึ้นที่บริเวณนั้นๆ
การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคเหงื่อออกเยอะผิดปกติ
- ควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี
- อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่าตามความสะดวก
- รักษาเท้าให้แห้งเสมอ เพื่อป้องกันการเป็นเชื้อรา
- สวมรองเท้าที่สะอาดและแห้งอยู่เสมอ และมีรองเท้าสำรอง ใส่สลับสับเปลี่ยนทุกวัน เพื่อลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย
- เลือกรับประทานอาหารชนิดที่ไม่เพิ่มการหลั่งเหงื่อเช่น อาหารรสเผ็ดจัด และอาหารที่ไม่เพิ่มกลิ่นทางเหงื่อ เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม
- ควบคุมอาการ ออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน
ที่มา
- https://www.pobpad.com/
- https://www.rattinan.com/
- https://www.pobpad.com/81
- https://www.rattinan.com/excessive
ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ tyreinternationalfestival.com
สนับสนุนโดย ufabet369
Economy
-
กองทุนรวม คืออะไร ลงทุนอย่างไรให้ได้โอกาสทำกำไร
การลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างหุ้น ก็มีโอกาสที่จะสร้างกำไรชนะเงินเฟ้อ แต่จะทำแบบนี้ได้ เราต้องมีความรู้เรื่องการลงทุนที่ดีพอซะก่อน สำหรับใครที่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาด ไม่มีเงินก้อนใหญ่ และไม่มีประสบการณ์ในการลงทุน เราขอแนะนำการลงทุนใน กองทุนรวม ที่สะดวก ง่าย และมีมืออาชีพคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
กองทุนรวม คืออะไร
กองทุนรวม คือ การระดมเงินลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยมารวมเป็นเงินลงทุนก้อนใหญ่ โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เป็นผู้ดูแล เพื่อนำเงินไปลงทุนตามนโยบายการลงทุนที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมตามนโยบายที่ตนเองสนใจ เมื่อลงทุนแล้วจะได้รับจัดสรร “หน่วยลงทุน” เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเงินที่ลงทุนไป เราจึงเรียกผู้ลงทุนในกองทุนรวมว่า “ผู้ถือหน่วยลงทุน” นั่นเอง
สำหรับมูลค่าของหน่วยลงทุน ในกองทุนแต่ละกองจะมีมูลค่าไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการบริหารกองทุนและปัจจัยที่มีผลต่อสินทรัพย์ที่ลงทุน นอกเสียจากจะเป็นกองทุนรวมที่เสนอขายครั้งแรก หรือ Initial Public Offering (IPO) ก็จะมีมูลค่าเริ่มต้นที่ 10 บาท และมูลค่าหน่วยก็จะเปลี่ยนไปหลังจากเสร็จสิ้นการระดมทุนและเริ่มการซื้อขายตามปกติ
ประเภทของ กองทุนรวม มีอะไรบ้าง
การลงทุนในกองทุนรวมมีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์และนโยบายของกองทุน โดยแต่ละประเภทก็มักมีความเสี่ยงต่างกันไปด้วย หากอยากรู้ว่ากองทุนรวมมีอะไรบ้าง เราขอแบ่งประเภทของกองทุนรวมตามนโยบายการลงทุนให้เข้าใจดังนี้
- กองทุนรวมตลาดเงิน (Money Market Fund)
เน้นลงทุนในเงินฝาก และตราสารหนี้คุณภาพดีอายุต่ำกว่า 1 ปี เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุด และมีโอกาสได้รับผลตอบแทนน้อยที่สุด เหมาะสำหรับเป็นที่พักเงินชั่วคราวมากกว่าลงทุนที่คาดหวังผลตอบแทน
- กองทุนรวมตราสารหนี้ (Fixed Income Fund)
มีนโยบายลงทุนในเงินฝากและตราสารหนี้รูปแบบต่างๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง ตั๋วแลกเงิน และหุ้นกู้ของภาคเอกชน เหมาะสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย และควรศึกษาลักษณะของกองทุนที่ลงทุน หากกองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้ระยะกลาง ก็ควรลงทุนอย่างน้อย 1 ปี
- กองทุนรวมผสม (Mixed Fund)
เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ ทั้งตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์อื่นๆ โดยโอกาสรับผลตอบแทนก็จะขึ้นอยู่กับสัดส่วนของสินทรัพย์ที่ลงทุนในกองทุน กองทุนผสมเหมาะสำหรับนักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางค่อนข้างสูง หรือคนที่ต้องการกระจายลงทุนหลายสินทรัพย์ในกองทุนเดียว ซึ่งกองทุนผสมจะตอบโจทย์มากกว่าการเลือกลงทุนเอง เพราะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลปรับสัดส่วนการลงทุน เพื่อให้ได้โอกาสทำกำไรสูงสุดในแต่ละสภาวะตลาด
- กองทุนรวมตราสารทุน หรือ กองทุนรวมหุ้น (Equity Fund)
มีนโยบายการลงทุนที่เน้นลงทุนในหุ้น เช่น หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (warrant) สำหรับกองทุนรวมหุ้นไทยก็จะมีหลากหลายนโยบาย เช่น ลงทุนตามดัชนี SET50, ลงทุนในหุ้นที่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล ฯลฯ กองทุนรวมหุ้นมีความผันผวนสูง จึงเหมาะกับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้มาก สามารถลงทุนระยะยาวได้ และยอมรับการขาดทุนในระยะสั้น
- กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ (Foreign Investment Fund: FIF)
เป็นกองทุนรวมที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่เหนือกว่าการลงทุนในประเทศ และยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากการลงทุน โดยกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศที่ได้รับความนิยม มักเป็นการลงทุนตามดัชนีสำคัญๆ ของโลก หรือการคัดสรรหุ้นรายตัวที่โดดเด่นในตลาดต่างประเทศ กองทุนรวมประเภทนี้มีความเสี่ยงสูง ถึงสูงมาก และยังมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่นักลงทุนต้องระวัง ก่อนลงทุนควรศึกษาว่ากองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่ด้วย
- กองทุนรวมที่ลงทุนในทรัพย์สินทางเลือก (Alternative Investment)
มีหลากหลายประเภทสินทรัพย์ให้เลือกลงทุน เช่น โครงสร้างพื้นฐาน อสังหาริมทรัพย์ สินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมันดิบ และทองคำ ฯลฯ จัดเป็นกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงสูงมาก ผู้ลงทุนควรมีความรู้ในสินทรัพย์นั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กองทุนรวมเพื่อการออม (Super Savings Fund: SSF)
เป็นกองทุนเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาวที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษี ต้องมีการลงทุนตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรและเมื่อซื้อแล้วต้องถือครองให้ครบเป็นเวลา 10 ปีนับจากวันที่ซื้อจึงจะสามารถไถ่ถอนได้ และมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามประเภทของกองทุนรวมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น หุ้นกู้ดิจิทัล และทรัพย์สินทางเลือก ฯลฯ
- กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (Retirement Mutual Fund: RMF)
เป็นกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพที่ส่งเสริมการออมเงินในระยะยาวเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณและมีสิทธิลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีเงื่อนไขหลักในการลงทุนคือ จะต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีต่อเนื่องและต้องมีอายุครบ 55 ปี จึงจะสามารถไถ่ถอนหน่วยลงทุนได้ ซึ่งมีนโยบายการลงทุนที่หลากหลายตามประเภทของกองทุนรวมที่กล่าวมาข้างต้น เช่น การลงทุนในตลาดเงิน ตราสารหนี้ หุ้น และทรัพย์สินทางเลือก ฯลฯ
ข้อดีของการลงทุนในกองทุนรวม
- มีมืออาชีพคอยดูแลการลงทุน
นั่นคือ ผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสินทรัพย์ และสามารถวิเคราะห์หาโอกาสทำกำไรได้อย่างมืออาชีพ เราจึงมั่นใจได้ว่าเงินที่เราลงทุนจะอยู่ภายใต้การดูแลอย่างดี
- มีนโยบายการลงทุนที่หลากหลาย
เราสามารถเลือกลงทุนได้ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ หรือกระจายความเสี่ยงได้ในหลายสินทรัพย์ ที่สำคัญบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ยังนำเสนอกองทุนรวมใหม่ๆ ตามเทรนด์อยู่เสมอ เช่น กองทุนหุ้นเทคโนโลยี กองทุนหุ้นการแพทย์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับนักลงทุน
- เงินไม่มากก็ลงทุนได้
การลงทุนในกองทุนรวมมีเงินเพียงหลักร้อยก็ลงทุนได้แล้ว หรือบางกองทุนก็ให้เราเริ่มต้นลงทุนเพียง 1 บาทเท่านั้น อีกทั้งยังสามารถทยอยลงทุนแบบ DCA ได้ด้วย
- ขั้นตอนการลงทุนที่ง่ายดาย
เพราะลงทุนได้ผ่านแอปพลิเคชัน อย่างเช่น Krungthai Next ที่ทำให้การลงทุนเป็นเรื่องง่าย จะเปิดบัญชี ดูพอร์ต หรือ ซื้อ ขาย สับเปลี่ยนกองทุน ก็ทำได้ผ่านแอป สะดวกและรวดเร็ว สามารถดูรายละเอียดกองทุนได้เพิ่มเติมที่นี่ กองทุนรวมกรุงไทย
เทคนิคการลงทุนในกองทุนรวม
- รู้เป้าหมายการลงทุน
ว่าจะเน้นลงทุนระยะยาวเพียงใด รับความเสี่ยงได้ในระดับไหน และคาดหวังผลตอบแทนประมาณกี่เปอร์เซ็นต์ ทั้งหมดนี้จะมีความสัมพันธ์กับการเลือกกองทุนรวม เช่น หากเราลงทุนระยะยาวและรับความเสี่ยงได้สูง ก็ให้เลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้น หรือหากต้องการพักเงินระยะสั้น ไม่คาดหวังผลตอบแทนมาก แต่เน้นรักษาเงินต้น ก็อาจพิจารณาเลือกกองทุนรวมตลาดเงินหรือตราสารหนี้ได้ เป็นต้น
- รู้จักประเภทสินทรัพย์ที่ลงทุน
จริงอยู่ว่ากองทุนรวมมีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพที่ดูแลเงินลงทุนของเรา แต่ผู้ลงทุนควรมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ลงทุนด้วย เพื่อให้จัดพอร์ตการลงทุนได้บาลานซ์ กระจายความเสี่ยงได้หลากหลาย และรู้ว่าสินทรัพย์แต่ละชนิดจะให้โอกาสทำกำไรได้ในสถาการณ์แบบใด เพื่อให้หลีกเลี่ยง หรือสับเปลี่ยนได้ทันท่วงที
- รู้ข้อมูลเบื้องต้นของกองทุน
ได้แก่ นโยบายการลงทุน การจ่ายปันผล ค่าธรรมเนียมต่างๆ และผลการดำเนินงานในอดีต เหล่านี้จะสะท้อนถึงฝีมือในการบริหารกองทุน และโอกาสทำกำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย เช่น บางกองทุนมีผลการดำเนินงานที่ดี แต่ค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง เราอาจต้องเปรียบเทียบกับกองทุนที่มีนโยบายเดียวกันเพิ่มเติม ซึ่งข้อมูลสำคัญของกองทุนรวมสามารถดูได้จากหนังสือชี้ชวนการลงทุนของกองทุนนั้นๆ
อย่างไรก็ดี แม้เราจะรู้แล้วว่ากองทุนรวมคืออะไร และสร้างโอกาสทำกำไรให้เราได้อย่างไร ทว่าการลงทุนก็ย่อมมีความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีต ก็มิอาจยืนยันผลการดำเนินงานในอนาคต ผู้ลงทุนจึงต้องทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน หรือหากจะลงทุนในกองทุนลดหย่อนภาษีก็ควรศึกษาเงื่อนไขก่อนตัดสินใจลงทุนด้วย
กองทุนรวมต่างจากการลงทุนในหุ้นตรงไหน
กองทุนรวม (Mutual Fund) เกิดจากการระดมและรวบรวมเงินจากบุคคลทั่วไป เพื่อนำไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและบริหารเงินลงทุนให้เกิดผลตอบแทนมากที่สุด อีกทั้งกองทุนรวมเองก็ยังมีสถานะเป็นนิติบุคคลที่ต้องถูกจดทะเบียนตามกฎหมาย ส่วนการลงทุนในหุ้นนั้นผู้ลงทุนจะต้องเป็นผู้บริหารเองทั้งหมด
จะลงทุนในหุ้นหรือกองทุนรวมดี ? มักจะเป็นคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะการลงทุนทั้ง 2 แบบนั้นถือเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมเหมือนกัน เนื่องจากคุณสามารถสร้างผลตอบแทนโดยที่ไม่ต้องบริหารกิจการ ซึ่งทั้งหุ้นและกองทุนรวมนั้นมีความเสี่ยงในการลงทุนคล้าย ๆ กัน แต่หุ้นนั้นมักจะเป็นการพิจารณาเลือกหน่วยลงทุนโดยตัวคุณเอง และหลักทรัพย์ที่จะลงทุนได้นั้นจะต้องอยู่ในตลาดหุ้นเท่านั้น
ในขณะที่กองทุนรวม คุณจะมีผู้จัดการกองทุนคอยดูแลและเลือกจัดสรรการลงทุนอย่างเหมาะสม รวมไปถึงยังเลือกกระจายการลงทุนไปยังหลักทรัพย์อื่น ๆ นอกเหนือจากหุ้น เช่น ตราสารหนี้ หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล หรือเงินตราต่างประเทศ บางครั้งกองทุนรวมยังจะเลือกลงทุนในกลุ่มหุ้นอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือกลุ่มหุ้นของต่างประเทศอีกด้วย นอกจากนี้ กองทุนรวมบางประเภทยังมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ทำให้ผู้ซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้ครับ
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เลือกซื้อ เฟอร์นิเจอร์ เข้าบ้านอย่างไร
การศึกษาพันธุกรรม ความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต
ลุยเกาหลีใต้! ดึงยักษ์ใหญ่ลงทุนไทย
เคล็ดลับสำหรับนักเรียนประวัติศาสตร์วรรณคดีอังกฤษ
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://tyreinternationalfestival.com/
สนับสนุนโดย ufabet369
ที่มา krungthai.com
Latest News
บัวขาว ปะทะ ปาเกียว คึก ‘วินิจ’ทุ่ม860ล้านจัด ‘เดอะแมตช์3’
บัวขาว จ่อปะทะ ปาเกียว ยอ...
เนย์มาร์ นักฟุตบอลดาวรุ่งของบราซิล ถูกปรับ 3.5 ล้านดอลลาร์
จากความผิดด้านสิ่งแวดล้อม...