เหงื่อออก ผิดปกติควรไปพบแพทย์

เหงื่อออก เป็นเรื่องปกติที่ต้องพบเจอทุกวัน ยิ่งอาศัยอยู่ในประเทศเขตร้อนอย่างบ้านเราไปจนถึงสภาพแวดล้อมรอบตัวหรือกิจกรรมต่างๆ ที่ทำในแต่ละวัน จะกระตุ้นให้ออกมากน้อยแตกต่างกันออกไป แต่เหงื่อในลักษณะไหนที่ส่งสัญญาณบอกให้ควรหันมาใส่ใจกับสุขภาพ

เรื่องน่ารู้ของอาการเหงื่อออกเยอะ

เหงื่อออก เป็นของเสียรูปแบบหนึ่งที่ถูกขับจากต่อมเหงื่อออกมาทางผิวหนัง เพื่อช่วยลดอุณหภูมิในร่างกายลง โดยมีส่วนประกอบสำคัญเป็นน้ำและเกลือ มักจะออกตามใบหน้า รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้าเป็นหลัก ส่วนสาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมาจากหลายปัจจัย ได้แก่

  • อุณหภูมิภายในหรือภายนอกร่างกายสูงขึ้น ถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เหงื่อออก
  • สภาวะทางอารมณ์ก็มีส่วนกระตุ้นให้เหงื่อออก เช่น โกรธ กลัว เครียด วิตกกังวล หรืออึดอัดใจ
  • การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารเผ็ดร้อน เครื่องดื่มคาเฟอีน ชา กาแฟ โซดา หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกในขณะรับประทานอาหาร
  • อาการป่วยทางร่างกาย เช่น โรคมะเร็ง ไข้ขึ้น อาการติดเชื้อ น้ำตาลในเลือดต่ำ กลุ่มอาการเจ็บปวดเฉพาะที่อย่างซับซ้อนบริเวณแขนขาหรือกลุ่มอาการซีอาร์พีเอส (Complex Regional Pain Syndrome)
  • การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดไข้ ยาแก้ปวดหรือมอร์ฟีน ยาบำบัดภาวะร่างกายพร่องไทรอยด์ฮอร์โมน (Synthetic Thyroid Hormones)
  • อยู่ในวัยหมดประจำเดือนหรือวัยทอง เป็นช่วงของการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับประจำเดือน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้เหงื่อออก จึงสังเกตเห็นได้ว่าผู้หญิงวัยทองมักมีอาการเหงื่อออกในเวลากลางคืน หรือมีอาการร้อนวูบวาบพร้อมกับเหงื่อออก

ปริมาณเหงื่อแต่ละวันที่ถูกขับออกจากร่างกายจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละคน อาจมีปริมาณน้อยกว่า 1 ลิตรไปจนถึงหลายลิตร ขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ทำในระหว่างวันและสภาพอากาศ เช่น พนักงานออฟฟิศในตึกที่ควบคุมอุณหภูมิให้เย็นสบายจะมีเหงื่อออกน้อยกว่าคนงานที่ทำงานข้างนอกตึกในสภาพอากาศร้อนจัด การออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรง จะทำให้เหงื่อออกได้มากกว่าปกติ นอกจากนี้ ปริมาณเหงื่อยังขึ้นอยู่กับจำนวนต่อมเหงื่อในร่างกาย โดยผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นจะเหงื่อออกได้ง่ายกว่าวัยอื่น เพราะเป็นช่วงที่ต่อมเหล่านี้ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ และต่อมเหงื่อของผู้ชายมักทำงานได้มากกว่าผู้หญิง

อีกหนึ่งปัญหาที่ตามมาจากเหงื่อคงหนีไม่พ้นเรื่องของกลิ่นไม่พึงประสงค์ ตัวการของกลิ่นไม่ได้มาจากเหงื่อโดยตรง แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังทำปฏิกิริยากับกรดในเหงื่อจนกลายเป็นกลิ่นตัว (Bromhidrosis) ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยหนุ่มสาว และผู้ชายก็มักมีกลิ่นตัวได้ง่ายกว่าสาวๆ เนื่องจากมีต่อมเหงื่อมากกว่า จึงทำให้ผลิตเหงื่อออกมามาก รวมถึงยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ทำให้เกิดกลิ่นตัวได้ง่าย เช่น น้ำหนักตัวมาก รับประทานอาหารรสจัดหรือแอลกอฮอล์ รับประทานยาบางชนิดอย่างยาต้านเศร้า (Antidepressants) หรือโรคบางโรค

เหงื่อบ่งบอกสุขภาพได้อย่างไร

ความเหนียวตัวและกลิ่นไม่พึงประสงค์จากเหงื่อทำให้หลายคนรู้สึกหงุดหงิดจนพาลไม่อยากให้เหงื่อออก แต่หากเหงื่อไม่ออกเลย ออกเพียงช่วงกลางคืน หรือแม้แต่ออกมากเกินในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งก็อาจเป็นสัญญาณผิดปกติที่ควรระวัง เพราะมักเป็นปัญหาสุขภาพที่ซ่อนอยู่ ซึ่งภาวะเหงื่อออกผิดปกติที่พบได้บ่อย ได้แก่

  • ภาวะขาดเหงื่อ (Anhidrosis)

เป็นภาวะที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเหงื่อได้ตามปกติ จึงอาจทำให้ร่างกายสะสมความร้อนไว้สูงเกินไป ซึ่งจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่มีสาเหตุมาจากความร้อน เช่น ตะคริวแดด (Heat Cramp) อาการเพลียแดด (Heat Exhaustion) จากการโดนแดดหรือความร้อนเป็นเวลานานจนทำให้หมดแรง โรคลมแดด (Heat Stroke) และอาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตเมื่อุณหภูมิในร่างกายสูงมากกว่า 40 องศาเซลเซียส เพราะร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกไปพร้อมกับเหงื่อได้ทัน

ภาวะขาดเหงื่อเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกายหรือเกิดเป็นเฉพาะบางจุด โดยสาเหตุการเกิดมาจากหลายปัจจัย เช่น การได้รับบาดเจ็บบริเวณผิวหนังอย่างรุนแรง โรคหรือยาบางชนิด สภาวะบางอย่างที่ทำให้ระบบเส้นประสาทเสียหาย ภาวะขาดน้ำ หรือแม้แต่กรรมพันธุ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำงานของต่อมเหงื่อ ส่วนการรักษาต้องพิจารณาจากสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดภาวะนี้ เพื่อรักษาให้หายขาด

  • เหงื่อออกมากผิดปกติ (Hyperhidrosis)

ภาวะหลั่งเหงื่อมากเป็นภาวะที่ร่างกายผลิตเหงื่อออกมามากเกินความจำเป็น เนื่องจากกลไกการลดอุณหภูมิของร่างกายไวต่อการกระตุ้นและจำนวนต่อมเหงื่อมากกว่าปกติ ทำให้ผลิตเหงื่อออกมากกว่าคนปกติ 3-4 เท่า เช่น นั่งเฉย ๆ ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายมากก็อาจทำให้เหงื่อท่วมตัว หรือในหน้าหนาวที่อากาศค่อนข้างเย็นกลับพบว่ามีเหงื่อออกมากเหมือนในหน้าร้อน

สาเหตุของเหงื่อออกมากผิดปกติยังไม่ทราบแน่ชัด เพราะเกิดได้จากหลายปัจจัย อาจมาจากการรับประทานยารักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวานหรือโรคของต่อมไทรอยด์ เข้าสู่ช่วงวัยทอง รวมไปถึงการติดเชื้อ โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โรคปอด

เมื่อเหงื่อออกมากก็จะทำให้เกิดกลิ่นตามมา โดยเฉพาะจุดอับตามร่างกาย ผู้ที่เกิดภาวะหลั่งเหงื่อมากควรเริ่มต้นด้วยการดูแลความสะอาดของร่างกายตามคำแนะนำ ดังนี้

  • อาบน้ำเป็นประจำทุกวันหรืออาบบ่อยขึ้นในวันที่อากาศร้อน ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียตามผิวหนังและจุดซ่อนเร้นไม่ให้เพิ่มปริมาณมากขึ้น รวมไปถึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาบน้ำที่มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย
  • รักษาความสะอาดของจุดซ่อนเร้น เพราะเป็นจุดอับที่เกิดกลิ่นได้ง่าย เช่น รักแร้ ขาหนีบ ข้อพับ
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายหลังอาบน้ำ โดยเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของอะลูมิเนียม คลอไรด์ (Aluminium Chloride) ซึ่งจะช่วยลดการผลิตเหงื่อให้น้อยลง
  • เลือกสวมเสื้อผ้าที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ เพราะมีคุณสมบัติในการระบายความร้อนได้ดี ไม่ก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาดและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทุกวัน เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย
  • เลี่ยงรับประทานอาหารรสจัด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือสัตว์เนื้อแดง ซึ่งกระตุ้นให้เหงื่อออกมากขึ้น

หากการดูแลเบื้องต้นไม่ดีขึ้น การรักษาทางการแพทย์อาจใช้การฉีดสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน(Botulinum Toxin) ในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อเยอะ เช่น ใต้วงแขน แขน ขา หรือใบหน้า ซึ่งช่วยยับยั้งการส่งสัญญาณของสมองไปยังต่อมเหงื่อให้ผลิตเหงื่อน้อยลง

ในกรณีที่เกิดกลิ่นตัวอย่างรุนแรงมากจนไม่สามารถบรรเทากลิ่นให้น้อยลงด้วยวิธีการอื่น แพทย์อาจรักษาด้วยการผ่าตัดกำจัดต่อมเหงื่อบางส่วนออก ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิธีที่นิยมใช้ เช่น การผ่าตัดนำเนื้อเยื่อหรือผิวหนังใต้วงแขนบางส่วนออก การดูดต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังออกโดยใช้เทคนิคเดียวกับการดูดไขมัน (Liposuction) การผ่าตัดผ่านรูกุญแจ (Keyhole Surgery) ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Endoscopic Thoracic Sympathectomy (ETS) เพื่อทำลายเส้นประสาทที่ควบคุมต่อมการผลิตเหงื่อ

  • เหงื่อออกกลางคืน (Night Sweat)

เป็นภาวะที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะช่วงกลางคืน โดยไม่มีปัจจัยอื่นกระตุ้นให้เหงื่อออกและอุณหภูมิของห้องเป็นปกติ บางครั้งอาจมีเหงื่อออกมากจนที่นอนเปียกชื้น ภาวะนี้ในบางครั้งอาจวินิจฉัยได้ยาก เพราะบางคนเหงื่อออกจากสภาพแวดล้อมภายนอก เช่น อุณหภูมิในห้องนอนสูงเกินไป ชุดเครื่องนอนหนามาก หรือบนเตียงมีหมอนเยอะหลายใบจนทำให้รู้สึกร้อน แพทย์จึงต้องแยกสาเหตุทั่วไปและทางการแพทย์ออกจากกัน

สาเหตุการเกิดอาจมาได้จากหลายส่วน ภาวะนี้มักพบได้บ่อยในผู้หญิงที่เริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทอง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งจะเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ ของวัยทอง เช่น ช่องคลอดแห้ง รู้สึกร้อนวูบวาบในช่วงกลางวัน อารมณ์แปรปรวน ส่วนสาเหตุอื่นๆ เกิดได้จากการรับประทานยาบางชนิด ความผิดปกติของฮอร์โมน ไข้ขึ้น แต่ในบางรายก็เป็นผลมาจากการติดเชื้อหรือโรคมะเร็ง แต่พบได้ค่อนข้างน้อย ในการวินิจฉัยจึงต้องใช้ข้อมูลหลายส่วนประกอบกัน

อาการเหงื่อออกเป็นกลไกธรรมชาติที่ช่วยลดความร้อนภายในร่างกายและเป็นตัวบ่งบอกถึงสุขภาพบางส่วนจากระบบทำงานของร่างกายที่ผิดเพี้ยนไป แต่หากขาดการดูแลและรักษาความสะอาดอย่างเหมาะสมย่อมจะเกิดผลเสียตามมา จึงควรหมั่นสังเกตว่าเหงื่อที่ออกในชีวิตประจำวันเป็นปกติหรือพ่วงความผิดปกติใดมาหรือไม่ เช่น เจ็บหน้าอก ไข้ขึ้น หัวใจเต้นเร็วและถี่ หายใจสั้น น้ำหนักลง เพราะอาจเป็นสัญญาณว่าคุณกำลังเผชิญกับการติดเชื้อหรือโรคเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ที่ซ่อนอยู่ อย่างไรก็ตาม ควรไปพบแพทย์เมื่อมีเหงื่อออกในลักษณะต่อไปนี้

  • เหงื่อออกมากหรือออกเป็นระยะเวลานานโดยหาสาเหตุไม่ได้
  • มีอาการเจ็บแน่นหน้าอกหรือความดันโลหิตเกิดขึ้นพร้อมกับเหงื่อออก หรืออาจเกิดตามมา
  • เหงื่อออกบ่อยๆ ในช่วงกลางคืนหรือเหงื่อออกมากจนน้ำหนักลด

เหงื่อออก

เหงื่อมากผิดปกติ มีวิธีรักษาและดูแลตัวเองอย่างไร

การักษาโรคเหงื่อออกมากผิดปกติ ขึ้นอยู่กับว่าเป็นอาการเข้ากับกลุ่มไหน ถ้าสงสัยว่าเป็น Secondary Hyperhidrosis (กลุ่มที่มีสาเหตุจากภาวะความผิดปกติในร่างกาย) ก็ต้องไปหาว่าเป็นโรคอะไร และรักษาโรคนั้น อาการเหงื่อออกมากผิดปกติก็จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ถ้าอาการเข้าได้กับ Primary focal hyperhidrosis และหาสาเหตุไม่ได้ ก็จะรักษาโดยการลดปริมาณเหงื่อที่ออกในบริเวณนั้นๆ ซึ่งทำได้ด้วยวิธีดังต่อไปนี้

1.ทายา ที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ (Antiperspirants)

หรือสารระงับเหงื่อ ออกฤทธิ์ทำให้โปรตีนในผิวหนังเกิดการตกตะกอน เมื่อสารนี้ซึมเข้าไปสู่รูต่อมเหงื่อ เกลืออลูมิเนียมจะเข้าเกาะติดในรูต่อมเหงื่อจนทำให้รูอุดตัน และปิดกั้นทางออกของเหงื่อไว้ สามารถทาได้ทั้งบริเวณ ไรผม รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า โดยต้องทายาก่อนนอนในบริเวณที่เหงื่อออกมากแล้วล้างออกตอนเช้า ยาอาจทำให้เกิดการระคายเคืองในบริเวณที่ใช้ได้

2.การฉีดสารโบทูลินั่มท็อกซินชนิดเอ (botulinum toxin type A)

บริเวณรักแร้ หรือฝ่ามือ ฝ่าเท้า เพื่อกดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ ก่อนฉีดก็จะมีการทายาชาและประคบน้ำแข็ง โดยอาจจะมีการทดสอบก่อน (Starch-Iodine Test) เพื่อดูบริเวณที่เหงื่อออก จะได้ฉีดให้ครอบคลุมทั่วบริเวณ ซึ่งฤทธิ์ของโบทูลินั่มท็อกซินจะอยู่ได้นานประมาณ 6-9 เดือน เมื่อหมดฤทธิ์เหงื่อก็จะกลับมาออกตามปกติ

3.MiraDry

คือ เทคโนโลยีที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกาประเทศสหรัฐอเมริกา (FDA) ช่วยในการแก้ไขปัญหาเหงื่อ และกลิ่นตัวบริเวณใต้วงแขน โดยการใช้พลังงานคลื่นไมโครเวฟ ส่งพลังงานความร้อนลงไปทำลายต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ สามารถแก้ไขปัญหาได้ถาวร โดยไม่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้ง และยังมีความปลอดภัยสูง โดยเป็นเครื่องเดียวในปัจจุบัน ที่ได้รับรับรองจาก FDA ในการรักษาโรคนี้

4.การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส (Iontophoresis)

เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อ บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง อาจต้องเข้ารับการรักษาประมาณ 6-10 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง

5.การผ่าตัด มีทั้งการผ่าตัดเอาต่อมเหงื่อออก (remove sweat glands)

การกำจัดปมประสาทอัตโนมัติ (Sympathectomy) โดยการทำลายปมประสาทบางส่วนที่ส่งสัญญาณมาบริเวณใบหน้า ฝ่ามือ หรือรักแร้ ส่งผลให้ไม่มีการหลั่งเหงื่อเกิดขึ้นที่บริเวณนั้นๆ

การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคเหงื่อออกเยอะผิดปกติ

  1. ควรสวมเสื้อผ้าที่ไม่รัดแน่นจนเกินไป ใส่สบาย ระบายเหงื่อได้ดี
  2. อาบน้ำอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือมากกว่าตามความสะดวก
  3. รักษาเท้าให้แห้งเสมอ เพื่อป้องกันการเป็นเชื้อรา
  4. สวมรองเท้าที่สะอาดและแห้งอยู่เสมอ และมีรองเท้าสำรอง ใส่สลับสับเปลี่ยนทุกวัน เพื่อลดการสะสมเชื้อแบคทีเรีย
  5. เลือกรับประทานอาหารชนิดที่ไม่เพิ่มการหลั่งเหงื่อเช่น อาหารรสเผ็ดจัด และอาหารที่ไม่เพิ่มกลิ่นทางเหงื่อ เช่น กระเทียม หัวหอม ต้นหอม
  6. ควบคุมอาการ ออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้น้ำหนักเกิน หรือเป็นโรคอ้วน

ที่มา

 

ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่  tyreinternationalfestival.com

สนับสนุนโดย  ufabet369